การพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์
จุดประสงค์ของการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ธรรมชาติมนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ร่วมกันทำงานสร้างสรรสังคมเพื่อให้ ความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น
จากการดำเนินชีวิตร่วมกันทั้งในด้านครอบครัว
การทำงานตลอดจนสังคมและการเมือง
ทำให้ต้องมีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน
เมื่อมนุษย์มีความจำเป็นที่จะติดต่อสื่อสารระหว่างกัน พัฒนาการ
ทางด้านคอมพิวเตอร์จึงต้องตอบสนองเพื่อให้ใช้งานได้ตามความต้องการ แรกเริ่มมีการพัฒนาคอมพิวเตอร์แบบ
รวมศูนย์ เช่น มินิคอมพิวเตอร์ หรือ
เมนเฟรม โดยให้ผู้ใช้งานใช้พร้อมกันได้หลายคน แต่ละคนเปรียบเสมือน
เป็นสถานีปลายทาง ที่เรียกใช้ทรัพยากร การคำนวณจากศูนย์คอมพิวเตอร์และให้คอมพิวเตอร์ตอบสนองต่อ
การทำงานนั้น ต่อมามีการพัฒนาไมโครคอมพิวเตอร์ที่ทำให้สะดวกต่อการใช้งานส่วนบุคคล จนมีการเรียกไมโครคอมพิวเตอร์ ว่า พีซี (Personal
Competer:PC) การใช้งานคอมพิวเตอร์จึงแพร่หลายอย่างรวดเร็ว เพราะการใช้งานง่ายราคา ไม่สูงมาก สามารถจัดหามาใช้ได้ไม่ยาก เมื่อ มีการใช้งานกันมาก บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่างๆ ก็ปรับปรุง
และพัฒนาเทคโนโลยีให้ตอบสนองความต้องการที่จะทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มในรูปแบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จึงเป็นวิธีการหนึ่ง และกำลังได้รับความนิยมสูงมาก
เพราะทำให้ตอบสนองตรงความต้องการที่จะติดต่อสื่อสาร ข้อมูลระหว่างกัน
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาเรื่อยมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ได้แก่
เมนเฟรม มินิคอมพิวเตอร์
มาเป็นไมโครคอมพิวเตอร์
ที่มีขนาดเล็กลงแต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นไมโครคอมพิวเตอร์ก็ได้รับ
การพัฒนาให้มีขีดความสามารถและทำงานได้มากขึ้น
จนกระทั่งคอมพิวเตอร์สามารถทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มได้
ดังนั้นจึงมีการพัฒนาให้คอมพิวเตอร์ทำงานในรูปแบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์
คือนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่มาเป็นสถานีบริการ หรือที่เรียกว่า
เครื่องให้บริการ (Server ) และให้ไมโครคอมพิวเตอร์ตาม
หน่วยงานต่างๆ เป็นเครื่องใช้บริการ (Client) โดยมีเครือข่าย(Network)
เป็นเส้นทางเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์จาก จุดต่างๆ
ความเป็นมาของการพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
ความก้าวหน้าของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
พ.ศ.
2530
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติได้ริเริ่มโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระหว่างมหาวิทยาลัยขึ้น
เพื่อเชื่อมโยงศูนย์คอมพิวเตอร์ของหลายมหาวิทยาลัยเข้าด้วยกันด้วยระบบสื่อสารแบบ X.25 และให้ทุนอุดหนุนการจัดทำข้อมูลบัตรรายการห้องสมุดแก่สถาบันต่างๆจำนวนมาก
[1] นับว่าเป็นการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมโยงภายในประเทศ
แต่ไม่มีการเชื่อมต่อกัยอินเทอร์เน็ต
ในปีเดียวกันมีการใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย
เป็นครั้งแรก โดยได้รับความช่วยเหลือจากประเทศออสเตรเลีย
และเริ่มใช้งานที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (เดือนมิถุนายน)
และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย
ทั้งนี้เชื่อมต่อเป็นการใช้โมเด็มต่อผ่านสายโทรศัพท์
ต่อมามีคณาจารย์จากสถาบันอื่นๆเข้าร่วมอีกหลายท่าน เช่น จากธรรมศาสตร์
เกษตรศาสตร์ รามคำแหง นิด้า และอัสสัมชัญ [1,2] ในการทำงาน ทางมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นเป็นผู้โทรเข้ามาที่เครื่องคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยวันละสองครั้งเพื่อแลก
“ถุงไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์” และเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายช่วยเรา
[3,4]
พ.ศ.
2534
อินเทอร์เน็ตทั่วโลกมีเครือข่ายต่างๆเชื่อมกันประมาณ 5,000
เครือข่าย ซึ่งประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกันประมาณ 700,000 เครื่อง และมีผู้ใช้งานประมาณ 4,000,000 คน ในกว่า 36 ประเทศ [10]
พ.ศ.
2535
ได้มีการจัดตั้งเครือข่ายไทยสารขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยเนคเทค
ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆเช่นมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์แรกคือการทำให้นักวิชาการไทยทั้งจากภาครัฐและเอกชนสามารถแลกเปลี่ยนจดหมายอิเล็กทรอนิกส์กันได้ทั่วโลก ทั้งนี้มีคณะทำงานจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (NECTEC
Email Working Group หรือ NEWgroup) เป็นผู้ช่วยกันพัฒนา
และมีผู้ใช้แรกเริ่มเพียง 28 ท่าน จาก 20 หน่วยงาน โดยใช้คอมพิวเตอร์ 8 เครื่อง
เชื่อมต่อกันผ่านสายโทรศัพท์ โดยใช้ซอฟต์แวร์ UUCP และ MHSNet
[2] โดยในเดือนเมษายน
ประเทศไทยมีรหัสอักขระมาตรฐานประกาศในร่างมาตรฐาน ISO-10646
และในเดือนกรกฎาคมประเทศไทยได้เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มเวลา
(ผ่านวงจรเช่าต่างประเทศ ระหว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและบริษัท UUNET) ด้วยความเร็ว 9,600 บิต/วินาที และในเดือนธันวาคม
มีสถาบันไทยรวม 6 แห่ง
ที่เชื่อมโยงกันด้วยวงจรเช่าแบบถาวรเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้คลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน ได้แก่ เนคเทค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
และ (สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย)
พ.ศ.
2536 เนคเทคเปิดใช้วงจรต่างประเทศความเร็วปานกลาง (64kbps)
ขึ้นเป็นวงจรแรก
เพื่อทำให้ผู้ใช้ทั้งหมดในประเทศไทยได้รับและส่งข้อมูลได้โดยสะดวกยิ่งขี้น
และในเดือนสิงหาคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ได้ปรับปรุงวงจร 9,600 bps เป็น 64kbps ด้วย
ในเดือนสิงหาคม ได้มีการเริ่มนำระบบ Linux Operating System เข้ามาใช้งานเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
และเดือนตุลาคม ได้เปิดบริการ WWW เป็นครั้งแรกในประเทศไทยเช่นเดียวกัน
คือ www.nectec.or.th ซึ่งทำหน้าที่แนะนำประเทศไทยให้กับทั่วโลกเป็นภาษาอังกกฤษ
ภายใต้ชื่อ Thailand the Big Picture และเปิดบริการอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า
7 ปีจนถึงปัจจุบัน [1] ในปีนั้น
เครือข่ายไทยสารมีหน่วยงานเชื่อมต่ออย่างถาวรรวม 19 หน่วยงาน
พ.ศ.
2537
เป็นปีที่ประเทศไทยนำเครื่องคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงสองเครื่อง ต่อเข้ากับเครือข่ายไทยสาร-อินเทอร์เน็ต
เครื่องแรก คือ MasPar ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
(เดือนกุมภาพันธ์) และเครื่องที่สอง คือ Cray Supercomputer รุ่น
EL98 (เดือนพฤษภาคม)
และในเดือนกรกฎาคม ได้มีการสาธิตการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 2 ล้านบิตต่อวินาที ระหว่างเนคเทค กับงานวันสื่อสารแห่งชาติ
ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในเดือนกรกฎาคม
เพื่อสาธิตระบบมัลติมีเดียและการประชุมทางไกลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (IP
Video Conference) ในปีนี้
เครือข่ายไทยสารได้เชื่อมโยงสถาบันอุดมศึกษาได้ 34 แห่ง ใน 27 สถาบัน [1] และ [3]
พ.ศ.
2538 เป็นปีแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ
ซึ่งเปิดศักราชด้วยการที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้เปิดบริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์
โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ก่อตั้งบริษัทอินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด
(การร่วมทุนระหว่างเนคเทค/สวทช. กับ กสท. และ ทศท.) เป็นผู้ให้บริการรายแรก
ซึ่งได้มีการเริ่มบริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มีนาคม 2538
และตั้งแต่เดือนมิถุนายนก็เริ่มมีผู้ให้บริการอื่นเริ่มได้รับอนุญาตให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ถูกกฎหมาย ในเดือนมีนาคมปีนี้
ก็เป็นการเริ่มโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย หรือ SchoolNet
โดยมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการรุ่นแรก 30
โรงเรียน
การใช้อินเทอร์เน็ตหลังจากปี
พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา
เริ่มเป็นที่แพร่หลายและเป็นข่าวออกสู่หน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำ
และค่อนข้างจะหาเอกสารอ้างอิงต่างๆได้ง่าย อย่างไรก็ดี ก็มีเหตุการณ์ต่างๆที่ควรแก่การบันทึกดังนี้
มีนาคม
2538
องค์กรเอกชนที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างถาวรด้วยความเร็ว 64kbps รายแรก คือ ธนาคารไทยพาณิชย์
มิถุนายน
2538 มีการขยายวงจรต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น
คือ 512kbps โดยศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตประเทศไทย
และในเดือนเดียวกัน ได้มีการรายงานผลการเลือกตั้งทางอินเทอร์เน็ต โดย
นสพ.บางกอกโพสต์ร่วมกับเนคเทค
กันยายน
2538
ประเทศไทยเปิดใช้วงจรอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระหว่างประเทศ 2
ล้านบิตต่อวินาทีเป็นวงจรแรกของ วงจรนี้เชื่อมเนคเทคกับNACSIS (National
Center for Science Information Systems) ในประเทศญี่ปุ่น
เป็นความร่วมมือเพื่อการศึกษาวิจัย
โดยสถาบันเป็นสมาชิกเครือข่ายไทยสารทุกแห่งสามารถเข้าถึงสถาบันต่างๆในญี่ปุ่นได้จากวงจรนี้ได้
กุมภาพันธ์
2539
ประเทศไทยเริ่มเปิดใช้วงจรความเร็วสูงเพื่ออินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรก
โดยศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตประเทศไทยเป็นผู้ลงทุนเชื่อมระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาโดยผ่านเคเบิลใยแก้วนำแสง
ทั้งนี้เป็นการลงทุนเพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด เอเซีย-ยุโรป
พร้อมกับบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้แก่ผู้สื่อข่าวจากทั่วโลก
และบุคคลสำคัญได้อย่างเต็มภาคภูมิ
วันที่
5 ธันวาคม 2539 เวลา 9.09 น. ได้มีการเปิดบริการข้อมูลเครือข่ายกาญจนาภิเษก
ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ http://kanchanapisek.or.th
เพื่อเป็นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
และผลงานของหน่วยงานต่างๆกว่าสิบหน่วยงาน ที่ทำงานสนองพระราชดำริ
รวมถึงกิจกรรมด้านเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาสังคมต่างๆ และในโอกาสต่อมา ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2540 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดเครือข่ายกระจายความรู้แก่ประชาชน ให้บุคคลทั่วไป
เข้าถึงข้อมูลเครื่อข่ายกาญจนาภิเษกได้ผ่านเลขหมายออนไลน์ 1509 ได้จากทุกแห่งในประเทศไทยโดยไมต้องเสียค่าสมาชิกและค่าโทรศัพท์ทางไกล [1] เครือข่ายนี้
ต่อมาได้รับพระราชานุญาตให้นำมาใช้เป็น access network สำหรับโรงเรียนทั่วประเทศในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
โดยทรงเปิดเครือข่ายใหม่ ที่เชื่อมเครือข่ายกระจายความรู้ฯ
กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทยเข้าด้วยกัน เรียกว่า SchoolNet@1509 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2541 [6] ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่จัดระบบอินเทอร์เน็ตฟรีให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศ
เพื่อลดความด้อยโอกาสของโรงเรียนที่อยู่ในชนบท ก่อนที่จะมีการกล่าวถึงคำว่า “digital
divide” ในเวทีนานาชาติ
พ.ศ.
2542 แม้ว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
และในวงการคอมพิวเตอร์ต่างก็ต้องกังวลเรื่องการแก้ปัญหา Y2K แต่จัดได้ว่าเป็นปีแห่งการเพิ่มความเร็วของวงจรอินเทอร์เน็ตต่างประเทศ
ในเดือนมกราคม มีวงจรต่างประเทศระดับ 8
ล้านบิตต่อวินาทีถึงสองวงจร คือของอินเทอร์เน็ตประเทศไทย
และของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ทั้งสองวงจรเป็นวงจรใยแก้วคุณภาพสูง ใน เดือนเมษายน มีเพิ่มอีกหนึ่งวงจร
คือของ KSC (เป็นวงจรดาวเทียม 8 Mbps) และในเดือนตุลาคม
KSC เป็นรายแรกที่เปิดใช้วงจรต่างประเทศขนาด 34 Mbps
(เป็นวงจรดาวเทียม แบบ Simplex คือ
ส่งข้อมูลเข้าประเทศไทยทิศทางเดียว)
เมื่อถึงสิ้นปี ประเทศไทยมีวงจรต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 118.25 Mbps
พ.ศ.
2543 ซึ่งเริ่มเป็นปีที่เงินบาทเริ่มคงตัว
และหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ (NPL) เริ่มลดลง
การเพิ่มความเร็วของอินเทอร์เน็ตทั้งในประเทศและระหว่างประเทศได้เพิ่มความเข้มข้นยิ่งขึ้น
จะเห็นได้ชัดว่า
ในต้นปี 2543 ความเร็วของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เพิ่มขึ้นถึง
209% (คือเพิ่มเป็นสามเท่า) จากเดือนเดียวกันในปี 2542 ส่วนในเดือนมกราคม 2544
เป็นการเพิ่มเป็นสองเท่าจากในปี 2542
สำหรับอัตราการเพิ่มของการไหลเวียนข้อมูลในประเทศ
ก็มีการเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่สูงกว่าปีละ 160%
ทั้งสามปีติดต่อกัน
องค์กรที่ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในเชิงธุรกิจ
สำหรับองค์กรหรือเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในเชิงธุระกิจ
คือกลุ่มที่แสว่งหากำไลหรือรายได้ผ่านทางการให้บริการทางอินเตอร์เน็ต
ยกตัวอย่างเช่น เว็ปไซต์ที่ลังท้ายด้วย (.com)
ตัวอย่างของ URL (http://www.contactcenter.cattelecom.com)
องค์กรที่รับผิดชอบในการบริหารและจัดการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตผ่านการบริหารจัดการโดยองค์กรหลายแห่ง
องค์กรเหล่านี้มีทั้งองค์กรที่ทำหน้าที่ผลักดันการเติบโตของอินเทอร์เน็ต
องค์กรพัฒนามาตรฐานโปรโตคอล และองค์กรจัดการด้านทะเบียนเครือข่ายเป็นต้น
องค์กรเหล่านี้ทำหน้าที่ประสานงานกันเพื่อพัฒนาอินเทอร์เน็ตโดยมิได้ทำหน้าที่สั่งการหรือควบคุม
อินเทอร์เน็ตจึงเป็นเครือข่ายอิสระที่ไม่อยู่ภายในกำกับโดยองค์กรใดโดยเฉพาะ
เครือข่ายในอินเทอร์เน็ตต่างตกลงเชื่อมโยงเข้าหากันและบริหารเครือข่ายของตนเองโดยอิสระ
โครงสร้างการบริหารจัดการขององค์กรในอินเทอร์เน็ตอาจแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มคือ
องค์กรพัฒนาอินเทอร์เน็ต และองค์กรดูแลด้านข้อมูลและทะเบียน
องค์กรพัฒนาอินเทอร์เน็ต
องค์กรในกลุ่มนี้ทำหน้าที่สนับสนุนการใช้งานอินเทอร์เน็ต
และพัฒนาโปรโตคอลมาตรฐานเพื่อใช้ในอินเทอร์เน็ต องค์กรในกลุ่มนี้ประกอบด้วย ไอซ็อก
ไอเอบี ไออีทีเอฟ และไออาร์ทีเอฟ โดยมีโครงสร้างระหว่างองค์กรดังรูปที่ 1 แต่ละองค์กรมีภาระหน้าที่ดังต่อไปนี้
องค์กรบริหารจัดการอินเทอร์เน็ต
ไอซ็อก
สมาคมอินเทอร์เน็ต
หรือ ไอซ็อก (ISOC : Internet Society) เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ. 2535 ไอซ็อกเป็นองค์กรที่ไม่มุ่งเน้นผลกำไรและมีนโยบายสนับสนุนการใช้อินเทอร์เน็ตให้แพร่หลาย
รวมทั้งสนับสนุนการจัดทำมาตรฐานอินเทอร์เน็ตโดยอาศัยไอเอบี
ไออีทีเอฟและไออาร์ทีเอฟ
นอกจากนี้ไอซ็อกยังทำหน้าที่สนับสนุนการวิจัยและให้ทุนในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต
ไอเอบี
ไอเอบี
(IAB : Internet Architecture Board) เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2526 แต่เดิมนั้นใช้ชื่อว่า Internet Activities Board เมื่อไอซ็อกถือกำเนิดขึ้นก็ได้โอนไอเอบีเข้ามาเป็นหน่วยงานในสังกัด
หน้าที่ของไอเอบีคือผลักดันและดูแลพัฒนาการด้านเทคนิคของอินเทอร์เน็ตให้กับไอซ็อก
ไอเอบีดูแลองค์กรสองแห่งซึ่งดำเนินงานด้านเทคนิคโดยตรงได้แก่ไออีทีเอฟและไออาร์ทีเอฟ
นอกจากนี้ไอเอบียังทำหน้าที่จัดการงานบรรณาธิการและตีพิมพ์เอกสาร อาร์เอฟซี
และการกำหนดหมายเลขเพื่อใช้ในอินเทอร์เน็ต โดยไอเอบีมอบภาระงานทั้งสองนี้ให้กับ
บรรณาธิการอาร์เอฟซี (RFC Editor) และ ไอนา (IANA :
Internet Assigned Number Authority) ตามลำดับ
ไออีทีเอฟ
ไออีทีเอฟ
(IETF : Internet Engineering Task Force) เป็นแหล่งรวมของคณะทำงานที่อยู่ภายใต้การดูแลโดยคณะกรรมการอำนวยการไออีเอสจี
(IESG : Internet Engineering Steering Group) ไออีทีเอฟประกอบด้วยอาสาสมัคร
และผู้เชี่ยวชาญร่วมมือกันพัฒนาสถาปัตยกรรมอินเทอร์เน็ต และช่วยให้อินเทอร์เน็ตดำเนินการได้โดยราบรื่น
ไออีทีเอฟเป็นองค์กรที่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมทำงานได้
ไออีทีเอฟทำหน้าที่ด้านเทคนิคโดยการสร้าง ทดสอบ และนำมาตรฐานอินเทอร์เน็ตมาใช้งาน
มาตรฐานอินเทอร์เน็ตจะผ่านการพิจารณาเห็นชอบโดยไออีเอสจีโดยมีไอเอบีเป็น ที่ปรึกษา
งานด้านเทคนิคของไออีทีเอฟแบ่งออกได้เป็นสาขา
แต่ละสาขาประกอบด้วยคณะทำงานกลุ่มย่อยที่มีผู้อำนวยการสาขา (Area
Directors) เป็นผู้ดูแลจัดการ
ผู้อำนวยการสาขาทั้งหมดรวมกับประธานของไออีทีเอฟจะประกอบกันเป็นไออีเอสจี
ขณะปัจจุบันไออีทีเอฟจัดแบ่งออกเป็น 9 สาขาได้แก่
สาขาประยุกต์ (Applications Area), สาขาทั่วไป (General
Area), สาขาอินเทอร์เน็ต (Internet Area), สาขาการดำเนินงานและการจัดการ
(Operations and Management Area), สาขาการเลือกเส้นทาง (Routing
Area), สาขาความปลอดภัย (Security Area), สาขาโปรโตคอลทรานสพอร์ต
(Transport Area), สาขาการให้บริการผู้ใช้ (User
Services Area), และสาขางานย่อยไอพี (Sub-IP Area) ทั้ง 9 สาขานี้ในปัจจุบันประกอบด้วยคณะทำงาน (Working
Groups) รวมทั้งสิ้น 133 กลุ่ม
ไออาร์ทีเอฟ
ไออาร์ทีเอฟ
(IRTF : Internet Research Task Force) เป็นแหล่งรวมของคณะทำงานวิจัยที่อยู่ภายใต้การดูแลโดยคณะกรรมการอำนวยการไออาร์เอสจี
(IRSG : Internet Research Steering Group) งานของไออาร์ทีเอฟเน้นหนักงานวิจัยระยะยาวในอินเทอร์เน็ต
ขณะที่ไออีทีเอฟเน้นหนักงานด้านวิศวกรรมและการจัดทำมาตรฐาน เพื่อใช้งานในปัจจุบัน
ไออาร์ทีเอฟมีคณะวิจัย (Research Groups) ในด้านต่างๆได้แก่
อินเทอร์เน็ตโปรโตคอล การประยุกต์ สถาปัตยกรรม และเทคโนโลยี รวมทั้งสิ้น 12 คณะ องค์กรดูแลด้านข้อมูลและทะเบียน
องค์กรในกลุ่มนี้ทำหน้าที่เชิงการจัดการด้านเทคนิคและการประสานงานเครือข่าย
งานหลักส่วนหนึ่งในการดำเนินการอินเทอร์เน็ตได้แก่ การจัดสรรแอดเดรส
การกำหนดค่าพารามิเตอร์และทะเบียนหมายเลขประจำแต่ละโปรโตคอล
รวมทั้งการบริหารโดเมนและจดทะเบียนโดเมน งานนี้แต่เดิมอยู่ในความรับผิดชอบของ ไอนา
(IANA : Internet Assigned Number Authority) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนการดำเนินงานรัฐบาลสหรัฐฯ
ในปัจจุบันภาระงานนี้ได้ถ่ายโอนไปยังหน่วยงานใหม่ซึ่งก่อตั้งขึ้นในเดือนตุลาคม
พ.ศ. 2541 คือ ไอแคน (ICANN : The Internet
Corporation for Assigned Names and Numbers) ไอแคนเป็นบรรษัทที่จัดตั้งขึ้นโดยไม่มุ่งเน้นผลกำไร
และบริหารจัดการโดยคณะกรรรมการที่ได้รับเลือกมาจากนานาชาติ
ไอแคนมอบอำนาจให้ศูนย์สารสนเทศเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่แบ่งออกไปตามภูมิภาคทำหน้าที่ดูแลการจัดสรรแอดเดรสและบริหารโดเมน
ได้แก่
ARIN (American Registry for Internet
Numbers) ให้บริการสำหรับกลุ่มประเทศในทวีปอเมริกา
แถบแคริบเบียน และทวีปแอฟริกาบริเวณซาฮารา
RIPE (Reseaux IP Europeens Network
Coordination Centre) ให้บริการสำหรับกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป
ตะวันออกกลางและบางส่วนของแอฟริกา
APNIC (Asia Pacific Network
Information Centre) ดูแลแถบเอเชีย-แปซิฟิก
5. จงบอกจุดมุ่งหมายของการใช้หมายเลข IP Address และชื่อโดเมน
ชื่อโดเมน (Domain Name) ความหมายโดยทั่วไป คือ ชื่อเว็บไซต์
ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและการนำไปใช้งาน
ชื่อโดเมน
(Domain Name) หมาย ถึง
ชื่อที่ถูกเรียกแทนการเรียกเป็นหมายเลขอินเทอร์เน็ต (IP Address) ( IP
Address นั้นจะได้จากที่เราทำการใช้บริการเว็บโฮสติ้ง หรือ
พื้นที่เว็บไซต์ ) เนื่องจากการจดจำหมายเลข
IP ถึง 16 หลัก ทำให้ยุ่งยาก
และไม่สามารถจำได้เวลาท่อง ไปในระบบอินเทอร์เน็ต จึงนำชื่อที่เป็นตัวอักษรมาใช้แทน
ซึ่งมักจะเป็นชื่อที่สื่อความหมายถึง หน่วยงาน วัตถุประสงค์ เนื้อหา
หรือเจ้าของเว็บไซต์นั้นๆ โดยแต่ละเว็บไซต์จะมีชื่อโดเมนเฉพาะที่ไม่ซ้ำกัน
หลักที่ใช้ในการตั้งชื่อ Domain name
1. ความยาวของชื่อ Domain ตั้งได้ไม่เกิน
63 ตัวอักษร
2. สามารถใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษผสมกับตัวเลข
หรือเครื่องหมายขีด (-) ได้
3. ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ถือว่าเหมือนกัน
4. ห้ามใช้เครื่องหมายขีด (-) นำหน้าชื่อ Domain name
แต่สามารถใช้ในระหว่างคำได้
5. ห้ามเว้นวรรคในชื่อ Domain
6. การตั้งชื่อ Domain ควรสื่อ
ถึงความหมาย ของเว็บไซต์เราให้มากที่สุด เนื่องจากมีผลต่อ Search Engine (
SEO )
รูปแบบการตั้ง Domain Name ตามหลักการของ Internet
มีรูปแบบ 3 รูปแบบใหญ่ๆ คือ
1. โดเมนขั้นสูงสุด - Top Level Domain เป็นรูปแบบที่ยังสามารถแบ่งได้ อีก 2 แบบย่อย คือ
* โด เมนเนมสากล หรือ gTLD
(generic Top-Level Domain Name) เป็นการจัดแบ่งตามลักษณะการใช้งาน
เช่น .com, .net, .org สามารถใช้ได้ทั่วไป
ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด
* โด เมนเนมประจำสัญชาติ
หรือ ccTLD (country code Top-Level Domain Name) เป็นหลักการจัดแบ่งตามลักษณะขอบเขตทางภูมิศาสตร์
หรือชื่อประเทศ เช่น .th (ไทย) , .uk (อังกฤษ),
.jp (ญี่ปุ่น), .เป็นต้น
2. โดเมนขั้นที่สอง - Second Level Domain เป็น Sub โดเมนที่แบ่งออกจาก TLD โดยอยู่ตำแหน่งถัดจาก TLD มาทางด้านซ้ายมือ เช่น .ac
สำหรับสถาบันทางการศึกษา .co สำหรับองค์กรธุรกิจ
3. โดเมนขั้นที่ 3 - Third Level Domain เป็น Sub โดเมนที่ถูกแบ่งออกจาก SLD อีกชั้นหนึ่งและมีตำแหน่งถัดจาก SLD ทางด้ายซ้ายมือ
ใช้เป็นชื่อย่อขององค์กร เช่น thaihostclub เป็นต้น